
6 เม.ย.2567 – Leadership Poll ครั้งที่ 2/2567 วิทยาลัยผู้นำและนวัตกรรมสังคม โดยโพลผู้นำทางสังคม ธุรกิจและการเมือง จัดทำโดยวิทยาลัยผู้นำและนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต สำรวจความคิดเห็นของกลุ่มผู้นำภาคสังคม, ธุรกิจและการเมือง ต่อนโยบายภาครัฐที่อยู่ระหว่างการพิจารณาดำเนินการในปัจจุบัน เก็บข้อมูลทั้งสิ้น 667 ตัวอย่างในเดือนมีนาคม พ.ศ.2567 จากกลุ่มผู้นำภาคสังคม, ธุรกิจและการเมือง
โดยผลการสำรวจพบว่ารัฐมนตรีที่มี “ภาวะผู้นำด้านบุคลิกภาพ” มากที่สุด ได้แก่
1. นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง 16%
2. นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน 13.1%
3. นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ 5.6%
4. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคม และความมั่นคงของมนุษย์ 5.6%
5. นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย 5.6%
6. ไม่มีผู้ใดมีคุณสมบัติ 11.6%
รัฐมนตรีที่มี “ภาวะผู้นำด้านการสื่อสารต่อสาธารณะ” มากที่สุด ได้แก่
1. นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง 18%
2. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคม และความมั่นคงของมนุษย์ 9.8%
3. นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย 8.7%
4. นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน 6.1%
5. นายสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม 3.7%
6. ไม่มีผู้ใดมีคุณสมบัติ 11.9%
รัฐมนตรีที่มี “ภาวะผู้นำด้านผลสัมฤทธิ์ของงาน” มากที่สุด ได้แก่
1. นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง 12.4%
2. นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน 8.1%
3. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคม และความมั่นคงของมนุษย์ 5.4%
4. นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย 4.3%
5. นายสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม 2.7%
6. ไม่มีผู้ใดมีคุณสมบัติ 18.5%
ภาวะผู้นำของผู้ดำรงตำแหน่งในคณะรัฐมนตรี คณะที่ 63 ในภาพรวมที่ควรปรับปรุง
1. ภาวะผู้นำด้านผลสัมฤทธิ์ของงาน 80.1%
2. ภาวะผู้นำด้านการสื่อสารต่อสาธารณะ 15%
3. ภาวะผู้นำด้านบุคลิกภาพ 4.9%
ข้อเสนอแนะอื่นๆ ที่ได้จากการสำรวจ
1. รัฐบาลควรให้ความสำคัญกับการบริหารงานเพื่อประชาชนมากกว่าการขับเคลื่อนทางการเมืองและการรักษาอำนาจ
2. ภาพการสื่อสารสาธารณะของคณะรัฐมนตรีคณะนี้ยังมีน้อยมาก อาจเป็นเพราะยังไม่มีผลงานเป็นที่ประจักษ์
3. ภาวะผู้นำควรคำนึงถึงความสำเร็จของงาน อุทิศตนต่อส่วนรวม เล็งเห็นความก้าวหน้า ไม่ใช่ถอยหลังหรือคงที่
4. รัฐควรแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีจากความสามารถมากกว่าการใช้ระบบสัดส่วน (Quota) พรรค
5. รัฐบาลยังขาดผลงานที่เป็นรูปธรรม ควรเร่งดำเนินการตามนโยบายให้สำเร็จ และควรสื่อสารกับประชาชนให้มากขึ้น.